วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Past Simple Tense



  โครงสร้างของ Past Simple Tense

                                 
Subject + Verb2




หลักการใช้ Past Simple Tense

1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต และจบลง  
    แล้วในอดีตก่อนที่จะพูดประโยคนี้ มักจะมีคำ (word) กลุ่มคำ  
    (Phrase) หรือประโยค (Clause) ที่แสดงความเป็นอดีตกำกับ
    ไว้เสมอ
คำ (word)
กลุ่มคำ (Phrase)
ประโยค (Clause)
ago
last night
When he was young.
once
last week
When he was fifteen.
yesterday
last month
After he had gone.
formerly
last year
When I lived in Paris.
in 1980
yesterday morning
yesterday afternoon

     เช่น            Somchai went to the movie yesterday.
                      I lived in Songkla three years ago.
                      He learned English when he was young.



2. ใช้กับการกระทำที่กระทำเป็นประจำในอดีต แต่ปัจจุบันไม่ได้
    กระทำอีกแล้ว มักจะมีกริยาวิเศษณ์บอกความถี่ (Adverb of 
    Frequency) มาร่วมด้วย แต่ต้องมีคำบอกเวลาที่เป็นอดีต
    แน่นอนกำกับไว้ตลอด เช่น

            She walked to school every day last week.
            I always got up late last year.
            He went to school every day when he was young.



3. ใช้กับการกระทำในอดีต แสดงลำดับความต่อเนื่องของเหตุการณ์ 
     กริยา (Verb) ทุกตัวต้องเป็น Past Simple Tense เช่น

           I opened my bag, took out some money and gave it to my friend.
           He jumped 
out of the house, saw a policeman and ran away.






วิธีการสร้างประโยค Past Simple Tense



โครงสร้าง
Subject + Verb2
ประโยคบอกเล่า
They
went
to the museum.
He
took
a bus to the school.
โครงสร้าง
Subject + did + not + Verb1
ประโยคปฏิเสธ
They
did
not
go
to the museum.
He
did
not
take
a bus to the school.
โครงสร้าง
Did + Subject + Verb1?
ประโยคคำถาม
Did
they
go
to the museum.?
Did
he
take
a bus to the school?
โครงสร้าง
Who/What/Where/When/Why/How + did + Subject +Verb1?
ประโยคคำถาม 
Wh-
Where
did
they
go?

How
did
he
go
to the school?
*เราใช้ “did” เข้ามาช่วยในการสร้างประโยคคำถามหรือปฏิเสธ โดยกริยาแท้นั้นจะต้องอยู่ในรูปกริยาช่องที่ 1 เท่านั้น
*คำปฏิเสธรูปย่อของ did not คือ didn’t




รูปของคำกริยา (Form of Verbs) 

คำกริยามี 2รูป คือ
            1. Regular Verbs ( กริยาไม่เปลี่ยนรูป) หมายความว่า เมื่อเปลี่ยนจากกริยาช่องที่ 1 (Simple Present) มาเป็นกริยาช่องที่ 2 (Simple Past) ก็ยังคงรูปเดิม เพียงแต่เติม _ed ท้ายคำกริยานั้น เช่น

                    work           เป็น          worked
                    hope          เป็น           hoped
                    play           เป็น            played     etc.
        2. Irregular Verbs (กริยาเปลี่ยนรูป) หมายความว่า เมื่อเปลี่ยนจาก กริยาช่องที่ 1 (Simple Present) มาเป็นกริยาช่องที่ 2 (Simple Past) จะเขียนไม่เหมือนเดิม เช่น
                    sleep         เป็น          slept
                    sit               เป็น          sat
                    run              เป็น          ran      etc.
   หลักเกณฑ์การเติม ed ที่คำกริยา   

            1. กริยาที่ลงท้ายด้วย e ให้เติม ได้เลย เช่น
                    love            เป็น          loved
                    move          เป็น          moved
                    hope           เป็น         hope    etc.

            2. กริยาที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม ed เช่น
                    cry               เป็น          cried
                    carry           เป็น           carried
                    marry          เป็น           married
                    try               เป็น            tried
                                                                etc.

            3. กริยาที่ลงท้ายด้วย y แต่หน้า y เป็นสระ ให้เติม ed ได้เลย เช่น
                    play            เป็น           played
                    enjoy          เป็น           enjoyed
                    stay            เป็น           stayed
                                                                     etc.

           4. กริยาที่มีพยางค์เดียว มีสระตัวเดียวและลงท้ายด้วยตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มตัวสะกดนั้นอีก 1 ตัว แล้วจึงเติม ed เช่น  
                    play            เป็น           planned
                    rub              เป็น           rubbed
                    stop            เป็น           stopped
 ยกเว้น 

                    tax              เป็น            taxed
                    tow             เป็น            towed

          5.กริยามีเสียง2พยางค์แต่ลงเสียงหนัก(stress)พยางค์หลังและพยางค์หลังมีสระตัวเดียวตัวสะกดตัวเดียวให้เติมตัวสะกดนั้นอีก 1 ตัวก่อน แล้วจึงเติม ed   เช่น
                    refer           เป็น            referred
                    permit        เป็น            permitted
 ยกเว้น  คำกริยานั้นออกเสียงหนักที่พยางค์แรกให้เติม ed ได้เลย เช่น
                   cover          เป็น            covered
                   open           เป็น            opened
                   gather         เป็น            gathered


         6. นอกจาก ข้อ 1-5 ให้เติม ed ที่คำกริยาได้เลย เมื่อต้องการทำให้เป็นกริยาช่อง 2



ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.rn.ac.th/english/praneet/past_simple.htm
                              http://www.dek-eng.com/

วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สวัสดีค่ะทุกคน ดิฉันได้สร้างบล็อกนี้ขึ้นเพื่อถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับเกร็ดความรู้ภาษาอังกฤษ   และบล็อกเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนรายวิชา การประเมินและพัฒนานวัตกรรมการสอนภาษาอังกฤษ รหัสวิชา 155373   ผู้สอน ผศ. อรสิริ  วิมลธรรม ยังไงก็เข้ามาเยี่ยมชมกันได้นะค่ะ 

หลักการใช้ Present Simple Tense

หลักการใช้  Present Simple Tense (ปัจจุบันกาลปกติ)

ในภาษาอังกฤษ

 

 

   รูปแบบของ Present Simple Tense
Subject + Verb1

 

 

 




หลักการใช้ Present Simple Tense


1.  ใช้พูดถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา หรือ เกิดขึ้นเป็น

     ประจำซ้ำไปซ้ำมา เช่น

             I drink a lot of water. (ฉันดื่มน้ำเยอะ)

2.  ใช้กับการกระทำที่ ทำจนเป็นอุปนิสัย หรือ ใช้เพื่อแสดงความถี่ของการ

     กระทำต่างๆ โดยเรามักใช้กับ

    คำกริยาวิเศษณ์แสดงความถี่ (Adverbs of Frequency) มาช่วยในการแสดง ความถี่ของการกระทำ เช่น
             I always do my homework. (ฉันทำการบ้านของฉันเสมอ)

*อย่างไรก็ตามประโยคที่มี คำกริยาวิเศษณ์แสดงความถี่ (Adverbs of Frequency) นั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็น Present Simple Tense เสมอไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า ประโยคนั้นกล่าวถึง การกระทำในช่วงเวลาใด เช่น
             I usually went to a museum. (Past Simple Tense)

             I will always love you. (Future Simple Tense)

3.  ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ เป็นความจริงตลอดไป (fact) หรือ เป็น

     กฎทางธรรมชาติ (natural law) โดยไม่จำเป็นว่าการกระทำนั้นๆ กำลังเกิด

     ขึ้นในขณะที่พูดหรือไม่ เช่น
            
             Snow is white. (หิมะมีสีขาว)

4.  ใช้เมื่อต้องการพูดถึง ตารางเวลา (Schedule) หรือ แผนการ (Plan) ที่ได้

      วางไว้ เช่น

            The meeting starts from 8.30 am until 10.00 pm.

             (การประชุมเริ่มตอนแปดโมงครึ่งตอนเช้าไปยังสี่ทุ่ม)

5.  ใช้ในการแนะนำบอกแนวทาง หรือ สอน เช่น

             How do I get to the nearest mall? Go straight and turn left on the next corner.
             (ฉันจะไปยังห้างที่ใกล้ที่สุดได้อย่างไร เดินตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายตรงหัวมุมข้างหน้า)
 

วิธีการสร้างประโยค Present Simple Tense

โครงสร้าง
Subject + Verb1
ประโยคบอกเล่า
I / You / We / They
eat
seafood.
He / She / It
knows
about you.
โครงสร้าง
Subject + do/does + not + Verb1
ประโยคปฏิเสธ
I / You / We / They
do
not
eat
seafood.
He / She / It
does
not
know
about you.
โครงสร้าง
Do/Does + Subject + Verb1?
ประโยคคำถาม
Do
I / you / we / they
eat
seafood?
Does
he / she / it
know
about you?
โครงสร้าง
Who/What/Where/When/Why/How + do/does + Subject +Verb1?
ประโยคคำถาม
Wh-
Why
do
I / you / we / they
eat
seafood?
What
does
he / she / it
know
about you?

*คำปฏิเสธรูปย่อของ do/does not คือ don’t และ doesn’t



ขอบคุณแหล่งที่มา http://www.dek-eng.com/